วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อิตาลี


ประเทศอิตาลี
-ออสโตรกอท (อังกฤษ: Ostrogoths, ละติน: Ostrogothi, Austrogothi) เป็นสาขาหนึ่งของกลุ่มชาติพันธ์กอทซึ่งเป็นสาขาของชนเจอร์มานิคตะวันออกที่มีบทบาทสำคัญในทางการเมืองในตอนปลายจักรวรรดิโรมัน อีกสาขาหนึ่งคือชาววิซิกอท ชนออสโตรกอทก่อตั้งรัฐในกรุงโรมในอิตาลีและคาบสมุทรบอลข่านอยู่ชั่วระยะหนึ่ง และในช่วงนั้นก็รวมส่วนใหญ่ของฮิสเปเนีย และตอนใต้ของกอล ออสโตรกอทรุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าธีโอดอริคมหาราชในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 6 แต่เมื่อมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษออสโตรกอทก็ถูกพิชิตโดยโรมในสงครามกอทิก (ค.ศ. 535–554) ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่อิตาลี


By Pimploy Pisutsiri 5/8 No.21

~ โรมาเนีย



ประเทศโรมาเนีย
-ชาวโรมานี (โรมานี: Rromane, อังกฤษ: Romani people หรือ Romany หรือ Romanies หรือ Romanis หรือ Roma หรือ Roms) หรือมักถูกเรียกโดยผู้อื่นว่า ยิบซี (อังกฤษ: Gypsy) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของยุโรปที่สืบเชื้อสายมาจากยุคกลางของอินเดีย (Middle kingdoms of India) โรมานีเป็นชนพลัดถิ่น (Romani diaspora) ที่ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในยุโรปโดยเฉพาะกลุ่มโรมาซึ่งเป็นชนกลุ่มย่อยในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก และกลุ่มใหม่ที่ไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกา และบางส่วนในดินแดนต่างๆ ทั่วโลก ภาษาโรมานีแบ่งออกไปเป็นสาขาท้องถิ่นหลายสาขาที่มีผู้พูดราวกว่าสองล้านคน[16] แต่จำนวนประชากรที่มีเชื้อสายโรมานีทั้งหมดมากกว่าผู้ใช้ภาษากว่าสองเท่า ชาวโรมานีอื่นพูดภาษาของท้องถิ่นที่ไปตั้งถิ่นฐานหรือภาษาผสมระหว่างภาษาโร มานีและภาษาท้องถิ่นที่พำนัก

By Pimploy Pisutsiri 5/8 No.21

ชาวเบอร์กันดี .. : )))


ชาวเบอร์กันดี (อังกฤษ: Burgundians, ละติน: Burgundiones) เป็นชาติพันธุ์ในกลุ่มชนเจอร์มานิคตะวันออกที่อาจจะอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่สแกนดิเนเวียมายังเกาะบอร์นโฮล์ม (Bornholm) ซึ่งยังเรียกเป็นภาษานอร์สโบราณว่า “Burgundarholmr” หรือ “เกาะของชาวเบอร์กันดี” จากนั้นก็ไปยังแผ่นดินใหญ่ยุโรป ใน ตำนานของทอร์ชไตน์ลูกไวกิง (Þorsteins saga Víkingssonar) เวเซติตั้งถิ่นฐานบนเกาะที่เรียกว่าเกาะของบอร์กันด์ หรือ บอร์นโฮล์ม คำแปลของสมเด็จพระเจ้าอัลเฟรดมหาราชของงานเขียนของโอโรเซียส (Orosius) ใช้คำว่า “Burgenda land” หรือ “ดินแดนของเบอร์เกนดา” กวีและนักตำนานวิทยาวิคเตอร์ ริดเบิร์ก (Viktor Rydberg) (ค.ศ. 1828–ค.ศ. 1895), ใน Our Fathers' Godsaga กล่าวอ้างจากแหล่งข้อมูลจากต้นยุคกลาง ตำนานชีวิตของนักบุญซิจิมุนด์แห่งเบอร์กันดี (Sigismund of Burgundy) ว่าชาวเบอร์กันดียังคงรักษาวัฒนธรรมการบอกเล่าต่อๆ กันมาเกี่ยวกับบรรพบุรุษที่มาจากสแกนดิเนเวีย

By Chalothon Chudthale 5/8 No.8

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สโลวีเนีย





ชาวสโลวีน (อังกฤษ: Slovenes, สโลวีน: Slovenci, Slovenke) เป็นประชากรสลาฟใต้ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสโลวีเนียและภาษาสโลวีนเป็นหลัก                                                                                              
ส่วนใหญ่ชาวสโลวีนในปัจจุบันอาศัยอยู่ในอาณาเขตของสโลวีเนีย (ประชากร 2,007,711 คน ประมาณการ พ.ศ. 2551) เช่นเดียวกับชนกลุ่มน้อยดั้งเดิมชาวสโลวีนซึ่งอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียง เหนือของอิตาลี (ประมาณการ 83,000-100,000 คน)  ตอนใต้ของออสเตรีย (24,855) โครเอเชีย (13,200) และฮังการี (3,180) ชาวสโลวีนได้รับการยอมรับว่าเป็นชนกลุ่มน้อยแห่งชาติในประเทศที่มีพรมแดนทาง บกติดต่อกับสโลวีเนีย อันได้แก่ ออสเตรีย ฮังการีและอิตาลี หากไม่ได้รับการยอมรับในโครเอเชีย                                                        
 สำมะโนประชากรสโลวีเนีย พ.ศ. 2545 มีข้อมูลว่า ประชากร 1,631,363 คนประกาศว่าตนเป็นชาวสโลวีเนียขณะที่ 1,723,434 คนระบุว่าภาษาสโลวีนเป็นภาษาแม่ของตน

By Suttida Kadtawee M.5/8 No.30

ชาติพันธุ์ ~ ชาวแฟรงก์ ~







ชาวแฟรงก์ (อังกฤษ: Franks, ละติน: Franci)   เป็นกลุ่มชนเจอร์มานิกตะวันตกที่เริ่มก่อตัวขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 โดยมีถิ่นฐานอยู่ทางเหนือและทางตะวันออกของลุ่มแม่น้ำไรน์ตอนล่าง ภายใต้การปกครองโดยราชวงศ์เมโรแว็งเชียง ชนแฟรงก์ก็ก่อตั้งสถาบันพระมหากษัตริย์เจอร์มานิกที่มาแทนจักรวรรดิโรมันตะวันตกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 รัฐของชนแฟรงก์และมารวมตัวกันเป็นอาณาบริเวณส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 8 ที่กลายมาเป็นจักรวรรดิคาโรลินเจียนและรัฐต่างๆ ที่ตามมาความหมายของคำว่า “ชนแฟรงก์” ที่กลุ่มชนแตกต่างกันไปตามสมัยและปรัชญา โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นความหมายที่ไม่ชัดเจน ภายในกลุ่มแฟรงเคีย “ชนแฟรงก์” เป็นกลุ่มชนที่มีเป็นกลุ่มชนเอกลักษณ์ที่มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง                                                                                                                    

 รากของคำว่า “แฟรงก์” อาจจะมาจากภาษาละติน “francisca” (จากเจอร์มานิก “*frankon” ที่เกี่ยวเนื่องกับภาษาอังกฤษโบราณ “franca”) ที่แปลว่า “แหลน” ชนแฟรงก์ที่โยนขวานได้รับนามว่า “francisca” (ขว้างขวาน) ซึ่งอาจจะเป็นการเรียกกลุ่มชนตามอาวุธที่ใช้ เอ. ซี. เมอร์เรย์ กล่าวว่าที่มาของคำว่า “Franci” ไม่เป็นที่ทราบแน่นอน (“คนดุ” ดูจะเป็นความหมายที่นิยมกัน) แต่จะอย่างไรก็ตามก็เป็นคำที่มีที่มาจากเจอร์มานิค


By Unjira Thongchod M.5/8 No.38




ประเทศโปแลนด์
ชาวโปแลนด์ หรือ ชาวโปล (โปแลนด์: Polacy Polak,: Polish people หรือ Poles) ชาวโปลเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในกลุ่มชนสลาฟตะวันตกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในปัจจุบันคือโปแลนด์ ชาวโปแลนด์บางครั้งก็จะได้รับการบรรยายว่าเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมโปแลนด์ร่วมกัน และสืบเชื้อสายโปแลนด์ ศาสนาส่วนใหญ่เป็นโรมันคาทอลิก ชาวโปแลนด์อาจจะมหาหมายถึงทั้งผู้ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในโปแลนด์เองที่มีเชื้อสายโปแลนด์หรือชาติพันธุ์อื่น นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มชนชาวโปแลนด์พลัดถิ่น (Polonia) ที่ไปตั้งหลักแหล่งทั่วไปในยุโรปตะวันตก ยุโรปตะวันออก ทวีปอเมริกา และออสเตรลีย

By Sasiwan Chanalangkran M.5/8 No .28


ชาติพันธุ์ในยุโรป




ประเทศฝรั่งเศส
นอร์มัน (อังกฤษ: Normans) คือกลุ่มชนผู้ให้นามแก่ดินแดนนอร์มังดีซึ่งเป็นบริเวณทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ชนนอร์มันสืบเชื้อสายมาจากไวกิงผู้ได้รับชัยชนะต่อผู้ตั้งถิ่นฐานอยู่แต่เดิมที่เป็นชนแฟรงค์ (Franks) และกอลล์-โรมัน (Gallo-Roman) ความเป็น “ชนนอร์มัน” เริ่มเป็นที่รู้จักกันเป็นครั้งแรกราวครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 10 และค่อยๆ วิวัฒนาการเรื่อยมาในคริสต์ศตวรรษต่อๆ มาจนกระทั่งสูญหายไปจากการเป็นกลุ่มชนที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองในต้นคริสต์ ศตวรรษที่ 13 คำว่า “นอร์มัน” มาจากคำว่า “นอร์สเม็น” หรือ “นอร์ธเม็น” (Norsemen หรือ Northmen) ตามชื่อไวกิงจากสแกนดิเนเวียผู้ก่อตั้งนอร์มังดี หรือ “นอร์ธมานเนีย” เดิมในภาษาละติน


By Sasiwan Chanalangkran M.5/8 No .28

ชาตฺพันธุ์ ยุโรป ~



ประเทศสวีเดน                                                                                                                                                                                                                                          
        ชาวสวีเดนคนสวีเดนนั้นคือเผ่าพันธุ์ไวกิ้งเดิม ซึ่งเป็นนักเดินทางที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าพวกเขาได้ล่องเรือไปถึงทวีปอเมริกาเหนือเพียงแต่ไม่ได้ตั้งรกรากเท่านั้นซึ่งเป็น เวลาก่อนที่โคลัมบัสจะไปถึงที่นั่นอยู่นานมาก รูปร่างของชาวสวีเดนนั้นคือสูงโปร่ง ผมทอง และตาสีน้ำเงิน แต่ปัจจุบันนี้มีผู้อพยพมาที่นี่อยู่มาก (ประมาณ 20% ของประชากรทั้งหมด) มีเชื้อสายอื่น ๆ ที่มีอยู่มากได้แก่ ตุรกี อิรัก อิหร่าน ยุโรปตะวันออกเช่น ยูโกสลาเวีย จากเอเชียก็ได้เวียดนามอพยพช่วงสงครามเวียดนาม อาฟริกาเช่น โซมาเลีย โดยผู้อพยพเหล่านี้จะได้รับสิทธิ์สวัสดิการต่าง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นภาระมาก ๆ แก่รัฐบาลของสวีเดน

By Chalothon Chudthale M.5/8 No .8

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชาติพันธุ์ของยุโรป

                                                                    ชาติพันธุ์ของยุโรป


กลุ่มนอร์ดิก


          อยู่ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรป โดยเฉพาะในคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีประชากรที่เป็นเชื้อสายนอร์ดิกที่เห็นได้ชัดเจนมาก ได้แก่ ในนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก ลักษณะรูปร่างของคนเชื้อสายนอร์ดิก คือ มีรูปร่างสูงใหญ่ ตาสีฟ้า ผมสีทอง กะโหลกศีรษะค่อนข้างยาว






ราชอาณาจักรนอร์เวย์ (Kingdom of Norway ) เป็นประเทศในกลุ่ม  นอร์ดิก ตั้งอยู่ในส่วนตะวันตกของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีอาณาเขตจรดประเทศสวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย และมีอาณาเขตทางทะเลจรดมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้กับประเทศเดนมาร์ก และสหราชอาณาจักร นอร์เวย์เป็นประเทศที่มีชายฝั่งยาว และเป็นที่ตั้งของฟยอร์ดที่มีชื่อเสียง















ภาษาราชการ : ภาษานอร์เวย์
มีเมืองหลวง   : ออสโล
สกุลเงิน         : โครนนอร์เวย์ ( Norwegien Krone, NOK )


             


ประเทศเดนมาร์ก มีประชากรประมาณ  5 ล้านคน
เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิกมีแผ่นดินหลักตั้งอยู่บนคาบสมุทรจัตแลนด์ ทางทิศเหนือของ
ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางบกเพียงประเทศเดียว ทางทิศใต้ของประเทศนอร์เวย์
และตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสวีเดน มีพรมแดนจรดทะเลเหนือและทะเลบอลติก
ประเทศเดนมาร์กมีอาหารพื้นบ้านต่างๆ ประกอบด้วย Frikadeller, Karbonader (มีทบอลทอด) มักจะเซิร์ฟกับ มะเขือเทศและน้ำเกรวี่
ภาษาราชการ  : ภาษาเดนมาร์ก
มีเมืองหลวง    : โคเปนเฮเกน
ใช้สกุลเงิน      :  โครนเดนมาร์ก ( Danish Krone, DKK )

ประเทศสวีเดน ( ราชอาณาจักรสวีเดน ในภาษาสวีเดนชื่อว่า Sverige )
มีประชากรประมาณ  9 ล้านคน คนสวีเดนนั้นคือเผ่าพันธุ์ไวกิ้งเดิมซึ่งเป็น
นักเดินทางที่ยิ่งใหญ่ เขตแดนทางตะวันตกจรดประเทศนอร์เวย์ทางตะวันออกเฉียงเหนือจรดประเทศ
ฟินแลนด์ และช่องแคบ สแกเกอร์แรก (Skagerrak) ทางตะวันตกเฉียงใต้  จรดช่องแคบ
แคทีแกต (Kattegat) และทางตะวันออกจรดทะเลบอลติก และอ่าวบอทเนีย
พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศประกอบด้วยป่าไม้ และภูเขาสูง
ภาษาราชการ   : ภาษาสวีเดน
มีเมืองหลวง    : สตอกโฮล์ม
สกุลเงิน          :  โครนาสวีเดน ( Swedish Krona, SEK )
alt










                                                                                                             อันจิรา  ทองโชติ  M.5/8  NO.36

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ชาติพันธุ์
ความหมายของชาติพันธุ์
          คำว่า "ชาติพันธุ์" และ "ชาติพันธุ์วิทยา" เป็นคำใหม่ในภาษาไทยการทำความเข้าใจเรื่องชาติพันธุ์จำเป็นจะต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับเรื่องเชื้อชาติและสัญชาติ อาจเปรียบเทียบ เชื้อชาติ สัญชาติ และชาติพันธุ์ได้ดังนี้
          - เชื้อชาติ
          - สัญชาติ
          - ชาติพันธุ์


เชื้อชาติ
          เชื้อชาติ (race) คือ ลักษณะทางชีวภาพของคน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนจากลักษณะรูปพรรณ สีผิว เส้นผม และตา การแบ่งกลุ่ม เชื้อชาติ (racial group) มักแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ นิกรอยด์ (Negroid) มองโกลอยด์ (Mongoloid) และคอเคซอยด์ (Caucasoid) ในตอนหลังได้เพิ่มออสตราลอยด์ (Australoid) โพลินีเชียน (Polynesian) ฯลฯ อีกด้วย
          การแบ่งแยกกลุ่มคนตามลักษณะทางชีวภาพนี้ มีความสำคัญในสังคมที่สมาชิกในสังคมมาจากบรรพบุรุษที่ต่างกัน และมีสีผิวและรูปพรรณสัณฐานที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น ความแตกต่างระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวดำ ในสังคมที่มีกลุ่มคนที่มีลักษณะทางชีวภาพต่างกันและประวัติความเป็นมาตลอดจนบทบาทในสังคมต่างกัน ความแตกต่างทางชีวภาพอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันได้ แต่ในบางสังคม เช่น สังคมไทย ความแตกต่างทางชีวภาพไม่มีความหมายเท่าใดนัก

ความแตกต่างทางเชื้อชาติ

สัญชาติ
          สัญชาติ (nationality) คือ การเป็นสมาชิกของประเทศใดประเทศหนึ่งตามกฎหมาย โดยที่ลักษณะทางชีวภาพและวัฒนธรรมอาจแตกต่างกันได้ การเป็นสมาชิกของประเทศย่อมหมายถึงการเป็นประชาชนของประเทศนั้น ผู้ที่อพยพมาจากที่อื่นเพื่อมาตั้งถิ่นฐานสามารถโอนสัญชาติมาได้ ผู้ที่เปลี่ยนสัญชาติ คือ ผู้ที่เปลี่ยนฐานะจากการเป็นประชาชนของประเทศหนึ่งมาเป็นประชาชนของอีกประเทศหนึ่ง

ชาติพันธุ์
          ชาติพันธุ์ (ethnicity หรือ ethnos) คือการมีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูดเดียวกัน และเชื่อว่าสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษกลุ่มเดียวกัน เช่น ไทย พม่า กะเหรี่ยง จีน ลาว เป็นต้น กลุ่มชาติพันธุ์หรือกลุ่มวัฒนธรรม มีลักษณะเด่นคือ เป็นกลุ่มคนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน บรรพบุรุษในที่นี้หมายถึงบรรพบุรุษทางสายเลือด ซึ่งมีลักษณะทางชีวภาพและรูปพรรณ (เชื้อชาติ) เหมือนกัน รวมทั้งบรรพบุรุษทางวัฒนธรรมด้วย ผู้ที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันจะมีความรู้สึกผูกพันทางสายเลือด และทางวัฒนธรรมพร้อมๆ กันไปเป็นความรู้สึกผูกพันที่ช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์ของบุคคลและของชาติพันธุ์ และในขณะเดียวกันก็สามารถเร้าอารมณ์ความรู้สึกให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ที่อยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์นับถือศาสนาเดียวกัน ความรู้สึกผูกพันนี้อาจเรียกว่า "สำนึก" ทางชาติพันธุ์ หรือชาติลักษณ์ (ethnic identity)
          พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาให้ความหมายชาติพันธุ์ (ethnos) ว่าหมายถึง "กลุ่มที่มีพันธะเกี่ยวข้องกัน และที่แสดงเอกลักษณ์ออกมา โดยการผูกพันลักษณาการของเชื้อชาติและสัญชาติเข้าด้วยกัน... ถ้าจะใช้ให้ถูกต้องจะมีความหมายเฉพาะใช้กับกลุ่มที่มีพันธะทางเชื้อชาติและทางวัฒนธรรม ประสานกันเข้าจนสมาชิกของกลุ่มเองไม่รู้สึกถึงพันธะของทั้งสองนี้ และคนภายนอกที่ไม่มีความเชี่ยวชาญจะไม่แลเห็นถึงความแตกต่างกัน" และพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาให้ความหมาย ชาติพันธุ์วิทยา (ethnology) ว่าหมายถึง "การพินิจศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมปัจจุบัน หรือวัฒนธรรมเดิมที่สูญหายไปของกลุ่มมนุษยชาติทั้งหลายในโลกชาติพันธุ์วิทยาอาจหมายถึงมานุษยวิทยาวัฒน-ธรรมก็ได้"
          การมองว่ากลุ่มชาติพันธุ์คือกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันนั้น อธิบายได้ว่า ในระยะแรกมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ มีลักษณะคล้ายครอบครัวขนาดใหญ่ เมื่อคนกลุ่มเล็กอาศัยอยู่ด้วยกัน ก็สามารถเข้าใจกันและประพฤติปฏิบัติต่อกันได้ โดยไม่มีความขัดแย้งเท่าใดนัก เมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้น มีคนหลายครอบครัวอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน การดำเนินวิถีชีวิตอาจแตกต่างกันบ้าง ความคิดอาจไม่สอดคล้องกันและปัญหาเรื่องความขัดแย้งก็คงจะตามมา ฉะนั้นเมื่อสังคมมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จำเป็นต้องมีระบบระเบียบมากขึ้นต้องมีการตกลงกันว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ข้อตกลงเกี่ยวกับวิถีชีวิตการประพฤติปฏิบัติ และความคิดความเชื่อ จึงเกิดขึ้นในสังคมมนุษย์และเรียกรวมๆ ว่า "วัฒนธรรม" กลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันเรียกว่าเป็นคนชาติพันธุ์เดียวกัน
          วัฒนธรรม คือ ระบบสัญลักษณ์ซึ่งสมาชิกของสังคมตกลงกันว่าจะใช้ร่วมกัน ผู้ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันคือคนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน มีวัฒนธรรมร่วมกันและสืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน การสืบทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่พ่อแม่อบรมสั่งสอนลูก ทำให้เกิดการสืบทอดชาติพันธุ์ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์ วัฒนธรรมและสังคมจึงเป็นความสัมพันธ์ที่แยกออกจากกันยาก และเนื่องจากการสืบทอดทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์เป็นการสืบทอดทางชีวภาพหรือทางสายเลือดด้วยความแตกต่างระหว่างปัจจัยทางวัฒนธรรมและปัจจัยทางชีวภาพจึงแยกออกจากกันยาก และทำให้คนทั่วไปไม่คำนึงถึงข้อแตกต่างนี้ นอกจากนี้ เนื่องจากกลุ่มทางชีวภาพหรือกลุ่มเชื้อชาติครอบคลุมหลายกลุ่มชาติพันธุ์ความไม่ชัดเจนจึงอาจเกิดขึ้นได้
          บางครั้งคนไทยใช้คำว่า เชื้อชาติ ในภาษาพูดทั่วๆ ไปในความหมายของกลุ่มชาติพันธุ์ว่า คือกลุ่มคนที่มีจุดกำเนิดของบรรพบุรุษร่วมกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณีเดียวกัน และพูดภาษาเดียวกัน ตลอดจนมีความรู้สึกในเผ่าพันธุ์เดียวกัน ตัวอย่างของกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ คือกลุ่มคนจีนกลุ่มคนไทย กลุ่มคนพม่า กลุ่มคนลาว กลุ่มคนเขมร กลุ่มคนกะเหรี่ยงกลุ่มคนอินเดีย กลุ่มคนม้ง ปัจจัยสำคัญในการจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์คือ ความสำนึกของคนในกลุ่มนั้นว่ามีชาติพันธุ์ใด ปัจจัยทางด้านภาษาอย่างเดียวไม่สามารถกำหนดชาติพันธุ์ได้ ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนดที่สำคัญกว่า ทั้งนี้เพราะคนจีน หรือคนอินเดีย หรือคนกะเหรี่ยง มีจิตสำนึกในความเป็นคนจีน หรือความเป็นคนอินเดีย หรือความเป็นคนกะเหรี่ยง โดยคนทั้ง ๓ กลุ่มนี้ต่างรวมกันโดยเชื้อชาติ สัญชาติ และชาติพันธุ์ แล้วก็มีภาษาพูดหลายภาษา คนจีนที่พูดภาษาไหหลำ กวางตุ้งและฮกเกี้ยน ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนจีน คนอินเดียที่พูดภาษาฮินดีเบงกาลี และทมิฬ ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนอินเดีย และคนกะเหรี่ยงไม่ว่าจะเป็นเผ่าโปว์หรือเผ่าสะกอ ต่างก็เรียกตัวเองว่าเป็นคนกะเหรี่ยง ฉะนั้น การจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์จึงขึ้นอยู่กับความสำนึกของตัวเองว่าเป็นคนกลุ่มใด
          นอกจากนี้ คนบางคนยังไม่อาจจะยึดในกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ตลอดไป เมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งก็มีความสำนึกอย่างหนึ่ง เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปก็มีความสำนึกอีกอย่างหนึ่งเช่น คนจีนที่เกิดในประเทศไทย และเรียนที่โรงเรียนคนไทย เมื่ออยู่ในหมู่เพื่อนที่โรงเรียนก็มักจะมองว่าตัวเองเป็นคนไทย แต่เมื่อกลับบ้านไปอยู่ในหมู่ญาติพี่น้องซึ่งพูดภาษาจีน ก็จะมองว่าตัวเองเป็นคนจีน ชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน เขาอาจจะมองว่าตัวเองเป็นชาวเขา หรือ "คนเมือง" (คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่พื้นราบในภาคเหนือ) หรือคนไทยก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม คนเชื้อสายกุยในประเทศไทยอาจจะเป็นคนกุย คนอีสาน หรือคนไทยก็ได้เช่นเดียวกัน
          การที่คนๆ เดียวมีความรู้สึกว่าเป็นสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด และไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือถูก แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความสำนึกในเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และไม่ถาวร เมื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีความสำนึกในกลุ่มชาติพันธุ์อย่างชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง คนกลุ่มนั้นก็มักจะเป็นคนที่มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เชื้อชาติชาติพันธุ์ และสัญชาติ สอดคล้องกัน

กลุ่มคนที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเดียวกัน จะมีความรู้สึกผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


กลุ่มที่สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษกลุ่มเดียวกัน


งานบวช เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง


กลุ่มคนที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีเดียวกัน จะมีความรู้สึกผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก






1. Portrait of Dr.Gachet by Vincent van Gogh ($116,790,000)


ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือ นายRyoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990 ด้วยวงเงินสูงถึง $ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr.Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน  1890 โดย Vincent Van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionnism)  ชาวดัทช์ นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่า เขาปราถนาที่จะเผารูปเขียนจอง Vincent Van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขาแต่ต่อมาเขาได้อธิบายเป็นคำพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใดซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van gogh ได้เขียนรูปเหมือนไว้ 2 รูปด้วยกันโดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อยซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส


 2. Bal au moulin de la Galette by Pierre-Auguste Renoir ($110,420,000) 


Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส Pierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน




3. Garcon a la Pipe by Pablo Picasso ($106,910,000) 

Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้าย
ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ $ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุค Cubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียงของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง



 4. Dora Maar au Chat by Pablo Picasso ($95,216,000) 


Dora Maar au Chat (Dora Maar with Cat) ภาพเขียนปี 1941 โดย Pablo Picasso จิตรกรเอกชาวสเปน ผู้หญิงในภาพคือ Dora Maar ภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้เขียนขึ้นในยุค Cubism ที่มีชื่อเสียงของเขา และถูกนำออกประมูลขายในการประมูลภาพเขียนของจิตรกรยุค Impressionism ที่สถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2006 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 95.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาที่ประเมินไว้คือ $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ไม่ประสงค์ออกนามเป็นผู้ที่ประมูลได้ไป


5. Irises by Vincent van Gogh ($78,400,000) ภาพดอก Irises วาดโดย Vincent van Gogh 

จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในขณะที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในสถานพักฟื้น Saint Paul-de-Mausole ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1890
ในปี 1987 ภาพนี้ได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก เมื่อมันถูกขายไปในราคาสูงถึง $ 54,000,000 ล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยนาย Alan Bond แต่เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายได้จึงต้องมีการประมูลขายอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันภาพนี้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ Getty Museum ในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา


 


6. Massacre of the Innocents by Peter Paul Rubens ($77,927,000) 


ภาพเขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนาย Kenneth Thomson (บารอน ทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ($ 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby



7. Les Noces de Pierrette by Pablo Picasso ($72,697,000) 

Les Noces de Pierrette ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกอีกภาพหนึ่งของ Pablo Picasso จิตรกรและประติมากรเอกชาวสเปน วาดขึ้นในยุค Blue Period ของเขา เป็นช่วงที่เขาทุกข์ทรมานจากความยากจนและความโศกเศร้า เนื่องจาก Carlos Casagemas เพื่อนรักของเขาฆ่าตัวตายเมื่อปี 1901 ภาพนี้ถูกขายให้กับเศรษฐีชาวเอเซียด้วยราคาสูงถึง $ 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1989 ในการประมูลที่สถาบัน Binoche et Godeau ที่ปารีส



8. Portrait de l'Artiste sans Barbe by Vincent van Gogh ($ 71,690,000) 

Portrait de l'artiste sans barbe ("Self-portrait without beard") หรือ ”ภาพเหมือนที่ไม่มีเครา” หนึ่งในภาพเหมือนตัวเองหลายๆ ภาพของ Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปี 1889 ซึ่งเขาพำนักอยู่ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ภาพเขียนสีน้ำมันภาพบนเฟรมผ้าใบภาพนี้มีขนาด 40x31 ซ.ม. (16" x 13")
Van Gogh เขียนภาพนี้หลังจากที่เขาพึ่งโกนหนวดเสร็จ แตกต่างจากภาพเหมือนรูปอื่นๆ ของเขาที่ไว้เครา และมันได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกตลอดกาลเมื่อถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1998


 9. Rideau, Cruchon et Compotier by Paul Cezanne ($70,140,000) 


Rideau, Cruchon et Compotier ภาพเขียนของ Paul Cezanne เขียนขึ้นในช่วงปี 1893-1894 Cezanne เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพหุ่นนิ่ง ซึ่งแสดงอารมณ์อันล้ำผ่านความสงบนิ่งในความเหมือนจริง
ภาพนี้ถูกประมูลขายไปด้วยราคาสูงถึง $ 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Sotheby เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1999 ผู้ที่ประมูลไปคือ ตระกูล Whitneys หนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นภาพนี้ได้ถูกนำมาประมูลใหม่อีกครั้งหนึ่ง


10. Femme aux Bras Croises by Pablo Picasso ($52,851,000) 

Femme aux Bras Croises (Woman with Folded Arms) ภาพเขียนฝีมือของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1902 ในยุค Blue Period ของเขา ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนและโศกเศร้า ในภาพเป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดอกอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย ความแตกต่างของน้ำหนักสีฟ้าที่สวยงามคือเทคนิคการใช้สีที่ Picasso นิยมใช้ในยุคนี้
ภาพ Femme aux Bras Croises ถูกประมูลขายไปในราคา $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลของสถาบัน Christie ที่ Rockefellerในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2000



Unjita Thongchot 5/8 No.8

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ เราได้พบกันอีกแล้วนะคะ  ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 ที่ฉันเข้ามาเขียนบทความในบล็อกนี้  ยังจำกันได้ไหมเอ่ย  ครั้งที่แล้วฉันเขียนเรื่อง “ ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของโลก ”  ซึ่งเป็นเรื่องที่เครียดมากๆ  วันนี้ฉันก็เลยอยากชวนเพื่อนๆ มาผ่อนคลายด้วยการดูสิ่งที่เจริญหูเจริญตาสำหรับผู้หญิงอย่างเราๆ ซึ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ แฟชั่น(Fashion)  เพราะนอกจากแฟชั่นที่ทันสมัยจะทำให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีความมั่นใจในตัวเอง แล้วก็ยังช่วยให้เราสนุกกับการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้ตนเอง และยังได้เป็นดีไซน์เนอร์เฉพาะกิจ ที่ต้องนำชุดที่มีมา Mix and Match กันให้ดูดี แต่แฟชั่นก็ใช่ว่าจะหมายถึงเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียว   แต่มันหมายถึงทุกสิ่งอย่างที่มนุษย์นิยมชมชอบกัน พูดมาถึงขนาดนี้  ใช่แล้วล่ะค่ะ ต่อจากนี้ฉันก็จะนำ fashion หลากสไตล์หลายรูปแบบมาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันในบทความใหม่นี้ ในชื่อว่า Fashion Infinity
Fashion Infinity  :D
Part 1. Skirt  Fashion
        ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบแฟชั่นกระโปรงมาก  เพราะกระโปรงให้ความรู้สึกได้หลายแบบ หลากสไตล์  แต่หลายคนเข้าใจว่ากระโปรงน่าจะเหมาะกับผู้หญิงหวานๆเท่านั้น  ยิ่งในปัจจุบันกระโปรงมีหลายรูปแบบให้เราได้เลือก  ทั้งแนวเปรี้ยว  แนวหวานๆ  หรือออกลุยๆ เท่ๆ ก็ยังมีเลยค่ะ  และที่สำคัญกระโปรง  ยังหาเสื้อใส่ให้เข้ากันได้ง่ายอีกด้วย  มาลองดูกันเองนะคะ  เผื่อจะถูกใจสักสไตล์


เป็นยังไงกันบ้างค่ะ สวยๆทั้งนั้นเลยนี่แค่น้ำจิ้มนะค่ะเพราะยังมีเยอะกว่านี้แต่เอาไว้ติดตาม ตอนต่อไปดีกว่านะค่ะ บ๊าย บาย

Unjira Thongchot  5/8 No.8

ภัยธรรมชาติความสวยงามที่แสนทรมาน

ภูเขาไฟระเบิดในไอส์แลนด์ เหตุเกิดจากภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งไอย์ยาฟยัลลาโยกูล (Eyjafjallajokull) ตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ระเบิดปะทุขึ้นฟ้าสูงถึง 8 กิโลเมตร ฝุ่นขี้เถ้าลอยสูงกว่า 6,000 เมตร และฟุ้งกระจายไปทั่วประเทศและหลายประเทศในยุโรปตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มควันและเถ้าละอองปลิวฟุ้งขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อให้เกิดอันตรายกับเครื่องยนต์ไอพ่นของเครื่องบินโดยสาร ดังนั้นหลายประเทศในทวีปยุโรปจึงต้องประกาศปิดน่านฟ้า ห้ามเครื่องบินขึ้นลงตามสนามบินในประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้โดยสารตกค้างเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้โดยสารที่จะเดินทางไปประเทศต่าง ๆ ในอีก 6 ทวีป นับเป็นผลกระทบต่อการสัญจรทางอากาศครั้งใหญ่สุด นับตั้งแต่เหตุวินาศกรรมปี 2544 เป็นต้นมา เที่ยวบินในภูมิภาคยุโรปต้องยกเลิกเที่ยวบินเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รวมแล้วประมาณ 17,000 เที่ยวบิน